มาฟังมุมมองการวิเคราะห์มิติด้านการลงทุนในประเทศอินโดที่เซีย ซึ่งน่าสนใจว่าในปี 2017-2018 นี้ จะมีแนวโน้มไปในทิศทางใด โดยคุณ “วิกร พงศธร” Business Support Director (SCG Indonesia)
คุณวิกร พงศธร : สถานการณ์เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานั้นค่อนข้างทรงตัวมาตลอด ถึงแม้รัฐบาลจะพยายามโปรโมทงาน infrastructure เพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนกับภาคเอกชนแล้วก็ตาม
แต่ในขณะเดียวกัน งบประมาณด้าน infrastructure ของอินโดนีเซียกลับมากกว่า ซึ่งของประเทศไทยจะอยู่ราว 2ล้านล้านบาท แต่อินโดนีเซียมีงบกว่า 12 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่าถึง 6 เท่า โดยส่วนใหญ่จะเน้นงานถนน รถไฟฟ้า และเขื่อน ซึ่งในส่วนของ SCG เองเมื่อเราดูการเติบโตของ industry เราจะดู growth เป็นหลัก เพราะว่าที่อินโดนีเซียจะมีสมาคมผู้ผลิตซีเมนต์ และข้อมูลค่อนข้างน่าเชื่อถือ โดยในปีที่ผ่านมาค่อนข้างโตไม่มาก แทบจะเรียกว่าไม่โตเลยด้วยซ้ำ
และในปีนี้ข้อมูลที่เราได้มาจากสมาคมใน 8 เดือนแรก (มกราคม-สิงหาคม) โต 5.7% ซึ่งอาจจะเยอะกว่า GDP Growth ครึ่งปีแรกที่โต 5.01% เราจึงคาดว่าปีนี้น่าจะดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา
แต่อย่างไรก็ตาม เหล่า developer ก็ได้พูดคุยกันมาตลอดว่า มีบาง segment ที่โตกว่า บ้างก็ค่อนข้างแย่ เช่น medium high รวมถึง luxury goods แต่โดยรวมนับว่าดี ไม่ว่าจะเป็น commercial หรือ residential น่าจะดีไปจนถึงปลายปี
แต่ในส่วนของ medium low นั้นยังไม่ค่อยดีนัก แต่หวังว่าจะดีขึ้นในระยะยาว และที่อินโดนีเซียมีตัวบ่งชี้อีกหนึ่งอย่างที่ดูได้ก็คือ ประเทศนี้ค่อนข้างพึ่งพาการส่งออก สินค้า community คือ ถ่านหินกับขูดปาล์มออย รวมกันแล้วราว 25% ของการส่งออก ซึ่งปกติแล้วการที่เราจะรู้ได้ว่าธุรกิจเติบโตหรือไม่นั้น จะต้องดูที่ราคาของถ่านหินกับราคาขูดปาล์มออย ถ้าราคาขึ้นก็จะมี lag time เกิดขึ้นประมาณ1ปี เพื่อให้ construction market โตตามไปในทางเดียวกัน
หมายความว่าเมื่อขูดปาล์มออยหรือถ่านหิน ราคาขึ้นแล้วนั้น เหล่าผู้ผลิตหรือบริษัทต่างๆที่เป็น exporter ก็จะมีเงินเข้าประเทศ ในที่สุดแล้วเงินก็จะถูกนำมาใช้จ่ายไปกับ อสังหาริมทรัพย์ พนักงาน รวมถึงคนที่เป็น stakeholders ต่างๆก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย
ซึ่งหลังจากนั้นเราก็ได้ forecast มาตลอด โดยเมื่อปลายปีที่แล้วทั้งสองอย่างนี้ราคาขึ้น เราก็คาดการณ์ว่าภายในปีนี้หรือช่วงปลายปี construction sector น่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ซึ่งเราเชื่อว่าน่าจะดีที่สุดเป็นอันดับต้นๆของอาเซียนสำหรับตัวเลข 5.7% คาดว่าคงไม่มีที่ไหนมากไปมากกว่านี้แล้ว หรือจะมีก็แต่กัมพูชาที่น่าจะมากกว่านี้
และในขณะเดียวกันนี้ เมื่อมี jerk ขึ้นมา ก็จะมีการดีดตัวลงเล็กน้อย แต่อย่างไรตอนนี้ก็ดีขึ้นมาแล้ว ราคาถ่านหินตอนนี้แตะอยู่ประมาณ 90 $USD ต่อตันแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็คิดว่า outlook ครึ่งปี 2017 จนถึงปีหน้าน่าจะมีแนวโน้มที่ดี
แต่ถ้าถามว่าตัวเลขจะเป็นเท่าไหร่ เราไม่สามารถตอบได้ แต่ส่วนมากอินโดนีเซียจะไปตาม GDP growth ของเขา เพราะประเทศนี้เป็นเกาะ 60%ของเศรษฐกิจทั้งหมดจะขับเคลื่อนมาจาก consumer consumption
และด้วยความที่ประชากรมากถึง 260 ล้านคน ก็เป็นเหตุให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการลงทุนมากเท่าไรนัก หากประชากรมีรายได้ consumable revenue มาก ก็จะสามารถเอามาใช้จ่ายในประเทศให้ขึ้น graph ได้
และสำหรับปีหน้า รัฐบาลอินโดนีเซียตั้งเป้าไว้ประมาณ 5.4% growth ซึ่งถือว่า healthy มาก ถ้าเทียบกับประเทศไทยถือว่าที่นี่หรูเลยทีเดียว ซึ่งนี่รวมถึงแผน government spending plan ด้วย
และในแง่ผู้ผลิตพวก conmat ต้องบอกว่ามีคนเห็นโอกาสนี้กันมาก อย่าง SCG เองก็ได้มองเห็นว่าตลาดนี้ค่อนข้างใหญ่ มีการเติบโตค่อนข้างสูง เราจึงเข้ามาลงทุน พวกบริษัทต่างชาติใหญ่ๆ ก็คงคิดไม่ต่างกัน จึงมีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น ทั้งญี่ปุ่น เกาหลีรวมถึงจีน โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าบริษัทใหญ่ๆจะเลือกเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซียเป็นส่วนมาก
อย่างที่ไทยก็มีรายใหญ่อยู่ไม่มาก เวียดนามส่วนมากก็เป็นของรัฐบาล ซึ่งที่อินโดนีเซียน่าจะเป็นแห่งเดียวที่มี big players มาจากต่างชาติเป็นส่วนมาก รวมถึงคนที่เป็นเจ้าของกิจการที่นี่ที่เป็น local ก็ใหญ่มาก อันดับหนึ่งของเขาคือรัฐบาล ซึ่งเป็นเจ้าของโรงซีเมนต์เองรวมถึงมีการร่วมมือกับกิจการเอกชนใหญ่ๆเช่น เป็นผู้ส่งออกปาล์มออยที่ใหญ่ที่สุดในโลก
และสุดท้าย ในปี 2019 นี้ จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ช่วงปีก่อนเลือกตั้งก็จะคล้ายๆไทยก็คือ จะมีนโยบายประชานิยมเต็มไปหมดเพื่อให้คนกลับมาเลือกตน ส่วนใหญ่ก็จะ jerk ขึ้นไป ประมาณปีสองปีก่อนเลือกตั้ง ย้อนไปประมาณปี 2012-2013 อุตสาหกรรมก่อสร้างโตมาก ซึ่งก็จะมีนโยบายช่วยเหลือคนจนหรือก่อสร้างพัฒนาท้องถิ่น จะมีการจัดสรร budget ไปให้แต่ละอำเภอ คล้ายกับ หนึ่งล้านบาทหนึ่งตำบลของไทย ซึ่งเราคิดว่านโยบายนี้น่าจะดีสำหรับตัวอุตสาหกรรมนี้ทีเดียว
