Blockchain เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ได้เปลี่ยนรูปแบบสกุลเงินและสินค้าอุปโภคบริโภคให้กลายเป็นรูปแบบดิจิทัล ซึ่งช่วยให้แต่ละบุคคลสามารถซื้อขายกันได้โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง อย่างเช่น ธนาคาร หรือบริษัทด้านพลังงาน เป็นต้น ในแต่ละกระบวนการทางธุรกรรม ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย หรือแลกเปลี่ยน
ซึ่งแสนสิริเองก็ได้นำเทคโนโลยีBlockchain มาใช้เพื่อให้พลังงานไฟฟ้าจากการผลิตไฟฟ้ารวมศูนย์ลดลง หรือมีความต้องการใช้พลังงานน้อยลง เนื่องจากโซลูชั่นพลังงานหมุนเวียนที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ผ่าน Solar Rooftop ที่ติดตั้งในพื้นที่ส่วนกลางเพื่อลดค่าใช้จ่าย และลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย
เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่สนใจ
- Blockchain ใช้กับโครงการใดบ้างในแสนสิริ ?
- การซื้อขายพลังงานไฟฟ้าผ่านระบบBlockchain มีกระบวนการทำงานอย่างไร?
- ช่วงถามตอบ Q/A
Blockchain ใช้กับโครงการใดบ้างในแสนสิริ ?
T77 SUKHUMVIT 77 ก็ใช้ Blockchain
T77 Sukhumvit 77 เป็นโครงการที่มีความหลากหลายของการอยู่อาศัย มีความครบครัน และอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพ เรียกได้ว่าเป็น BANGKOK’S COMPLETED GREEN COMMUNITY แห่งแรกในกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ระหว่างสุขุมวิท 71 และ สุขุมวิท 77 ใกล้กับ BTS พระโขนง และอ่อนนุช ซึ่งมีผู้คนที่อาศัยอยู่โดยรอบประมาณ 500,000 คน
ศักยภาพของพื้นที่ตรงนี้ คือ กลุ่มชาวต่างชาติและชาวไทยจำนวนมากที่ชอบอยู่บนพื้นที่ที่มีความเป็นส่วนตัว และชอบการอาศัยอยู่กับธรรมชาติ นอกจากนี้ทางโครงการยังนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในการซื้อ-ขายพลังงาน ในอาคารทั้ง 4 ได้แก่
HABITO
Community Mall ขนาดกลาง ภายในพื้นที่ประกอบด้วย สถานที่ทำงาน สถานที่ความบันเทิง และสถานที่ออกกำลังกาย สถานที่นั่งพักผ่อน นั่งทำงาน
BANGKOK PREP SCHOOL
หนึ่งในโรงเรียนนานาชาติที่คนไทยรู้จักกันดี และมีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง มีขนาดพื้นที่กว่า 20 ไร่ โดยทางโรงเรียนจะใช้หลักสูตรการเรียนการสอนระบบอังกฤษ และให้ความสำคัญกับบรรยากาศการเรียน ที่มีนักเรียนมาศึกษาจากหลายชาติ
PARK COURT
คอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมอยู่ บนเนื้อที่ขนาด 7.8 ไร่ มีลักษณะเป็นคอนโดแนวราบ 7 ชั้น 5 อาคาร 70 ยูนิต
DENTAL HOSPITAL
โรงพยาบาลทันตกรรมที่อยู่ภายในตัวโครงการ
การซื้อขายพลังงานไฟฟ้าผ่านระบบ Blockchain มีประบวนการทำงานอย่างไร?
โดยเบื้องต้นทางอาคารจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ผ่านกระบวนการผลิตจาก Solar rooftop และนำไปใช้จ่ายภายในอาคารภายในโครงกการ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยลดต้นทุนในการใช้พลังงานไฟฟ้า พร้อมกระบวนการแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าของอาคารภายในอาคาร ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ปริมาณการผลิต และการใช้ไฟฟ้าของแต่ละอาคารมีความแตกต่างกัน แบ่งเป็น 3 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 ผลิตพลังงานไฟฟ้าเกินการใช้งาน
หากเกิดกรณีนี้ทางอาคาร สามารถขายพลังงานไฟฟ้าให้กับอาคารภายในโครงการ ที่ต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าผ่านระบบ P2P (peer-to-peer) แต่หากพลังงานไฟฟ้ายังเหลืออยู่อีก ก็จะถูกนำไปขายให้กับที่กักเก็บไฟฟ้า เพื่อจะได้นำไปขายต่อในเวลาที่อาคารในโครงการมีความจำเป็นต้องใช้ และหากระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าเต็ม ก็จะถูกส่งนำไปขายเข้าระบบการไฟฟ้าในอนาคต
กรณีที่ 2 ถ้าอาคารมีความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงกว่าความสามารถในการผลิตไฟฟ้า
ทางอาคารก็จะซื้อพลังงานไฟฟ้าผ่านช่องทาง 3 ส่วน ได้แก่ ระบบ P2P ระบบกักเก็บพลังงาน และ การไฟฟ้านควรหลวง (กฟน.) ตามลำดับ
กรณีที่ 3 เกิดจากการเกิดกรณีที่ 1 และ 2
ถ้าอาคารต้องการที่จะใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่าความสามารถในการผลิต ก็จะสามารถซื้อจากอาคารผู้ขายที่ให้ราคาต่ำที่สุด ส่วนหากอาคารที่ผลิตไฟฟ้าเกิดความต้องการ ก็จะสามารถขายให้กับผู้ซื้อที่ให้ราคาสูงที่สุดผ่านระบบ P2P ได้นั่นเอง ซึ่งจากทั้ง 3 กรณีนี้ จะเกิดขึ้นผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน นอกจากนี้ ยังได้มีการคำนวณว่าอาคารในโครงการไหนควรซื้อ หรือขายจากอาคารใดอีกด้วย
ช่วง Q/A
Q : Blockchainในโครงการเป็นการพัฒนาของแสนสิริอย่างเดียวหรือมีพาร์ทเนอร์อื่นๆ ร่วมด้วย
A : มี 4 พาร์ทเนอร์ร่วมกันพัฒนา นั่นก็คือ แสนสิริ BCPG การไฟฟ้านครหลวง และ พาวเวอร์ เล็ดเจอร์
จบแล้วสำหรับบทความ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ และช่วยให้ผู้อ่านได้เข้าใจความหมายของคำว่า “Blockchain” มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ทางทีมงาน BUILK ก็ต้องขอขอบคุณ คุณ คุณพรพิมล ผู้พัฒน์ (SANSIRI) ที่สละเวลามาแชร์ความรู้ดีๆ ให้กับผู้ร่วมงานรักเหมาfest ในปี 2019 นี้ด้วยครับ
