เทคโนโลยีที่มีนวัตกรรมมาสร้างบ้านที่ได้รับความนิยม 4 แบบ
- 3D printing = เป็นกระบวนการที่มีการต่อยอด และพัฒนาโดยใช้หลักการพิมพ์พลาสติก 3 มิติ มีค่าใช้จ่ายไม่สูง ทำให้การจัดสรรและการจัดหาที่พักอาศัยมีเพียงพอต่อประชากรในประเทศกำลังพัฒนา
- Precast = ป็นการสร้างบ้านหรือคอนโด โดยแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป ที่ทำมาจากโรงงานเป็นที่เรียบร้อย โดยใช้เทคโนโลยีด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งคอนกรีตสำเร็จรูปเหล่านี้จะเป็นชิ้นส่วนของตัวบ้านต่างๆ อย่างผนังหน้าบ้าน ข้างบ้าน หลังบ้าน พื้น และนำมาประกอบเข้าด้วยกัน คล้ายกับจิ๊กซอว์
- Tunnel = ระบบการก่อสร้างสมัยใหม่ที่เอื้อให้ผู้รับเหมาสามารถทำงานหล่อพื้นและผนังได้ในการทำงานครั้งเดียว
- Conventional = บ้านโครงสร้างทั่วไป conventional ที่ก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กหล่อในที่ในระบบ
เสา-คานกับผนังก่ออิฐฉาบปูน
ดร. พร วิทยากรของเราได้เล่าถึงประวัติก่อนเกิดนวัตกรรม 3D printing ในโลก และได้บอกว่าปัจจุบันเทคโนโลยี 3D printing ทุกวันนี้เริ่มมีบทบาทสำคัญเข้ามาในวงการก่อสร้างอย่างมาก และได้สรุปเกี่ยวกับเรื่องจริงของ 3D Printing เอาไว้หลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยทางเราได้สรุปเป็นหัวข้อได้ดังนี้
เรื่องจริงของ 3D Printing
- 3D printing ปัจจุบันทำได้แค่ผนัง
- ตัวเครื่องมือประกอบใช้ง่ายมาก
- ไม่พบปัญหา เช่น ฝุ่น เสียง ไปรบกวนชาวบ้าน
- ทำงานได้ไวจบงานง่าย เช่น 7 หลังใช้เวลา 4 วัน
- แม้ว่าจะใช้ 3D printing ยังไงก็ต้องเสริมเหล็กอยู่ดี
- ต้องมีการเขียน code ผ่านโปรแกรมเพื่อให้ทำงานตามแบบที่ต้องการ
- จะต้องมีช่างสถาปัตย์กับ M&E
- ลดแรงงานในการก่อสร้างได้แต่ต้องมีแรงงานหน้างานคอยประจำ
- 3D printing ยังเป็นสิ่งที่เจ้าของบ้านยังไม่เชื่อมั่นเท่าการสร้างแบบปกติเรื่อง BIM
- การใช้ BIM กับบ้านส่วนใหญ่จะใช้กับงาน precast เพราะจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องการติดตั้ง precast ได้ โดย Concept จะเป็นโปรแกรมที่มีดาต้าเบสฝังอยู่ เพียงแค่ขยับแบบหรือปรับเปลี่ยนแบบทุกอย่างก็จะถูกปรับให้อย่างเหมาะสม โดยขึ้นรูปออกมาเป็น 3D ก่อนจากนั้นก็จะออกมาเป็น 2D ซึ่งกลับกันจากสมัยก่อนที่ทำบน AutoCAD
เรื่องเกี่ยวกับ BIM ในประเทศไทย
“ในการสร้างบ้านพักอาศัย BIM คือเทคโนโลยีที่ใช้สนับสนุนการทำงานได้ทุกประเภทเพื่อ บริหาร Time – Cost – Quality” เป็นประโยคที่ ผศ.ดร. พร ได้กล่าวกับผู้เข้าร่วมอบรม และได้เล่าเกี่ยวกับ BIM ในประเทศไทยจากประสบการณ์ที่พบเจอ และอยู่ในแวดวงการก่อสร้างมาตลอด โดยทางเราได้สรุปเป็นข้อ ๆ ให้ทุกคนได้อ่านกัน
- ดิจิทัลทรานฟอร์มของวงการธุรกิจเรื่องสภาพแวดล้อมทางการทั้งหมด
- BIM คือเทคโนโลยีบริหารความเสี่ยงสำหรับธุรกิจรับสร้างบ้าน
- มีการเก็บดาต้าเป็น 3D
- BIM ไม่ใช่ซอฟแวร์ แต่ BIM คือกระบวนการทำงาน
- ผู้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้ BIM คือผู้รับเหมาก่อสร้างเอง
- คนที่ซื้อ BIM แล้วมักเปรียบว่าเป็นเครื่องมือเขียนแบบแต่ความจริงไม่ใช่
- การพัฒนาในองค์การเริ่มจากเจ้าของที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ BIM และให้ลูกน้องคล้อยตามไปได้ Change management ที่ยั่งยืน คือ people process technology แต่องค์กรมันจะทำแบบย้อนกลับ ต้องเปลี่ยนคนและทำให้คนเขาอยากทำ
- ทำให้งานที่ทำอยู่มีประสิทธิภาพและทำงานง่ายมากขึ้น และใช้ Sandbox Project
- สำหรับองค์กรที่เปลี่ยนจากทำงานบนกระดาษเปลี่ยนเป็นคอมมีความยากลำบากเป็นอย่างมากที่ต้องใช้เวลาปรับตัวเพื่อเปลี่ยนแปลง
นี่เป็นเพียง Point สำคัญที่ทาง BUILK.com ได้จับประเด็นมาให้ทุกคนได้อ่านกัน แต่ความจริงแล้วเนื้อหาใน Session นี้เข้มข้นและลงลึกถึงแก่นและปัญหาเกี่ยวกับ BIM และธุรกิจรับสร้างบ้าน หากใครสนใจที่จะได้รับความรู้และการอบรมดี ๆ แบบนี้ คราวหน้าต้องห้ามพลาดกับการอบรมหลักสูตรยกระดับธุรกิจรับสร้างบ้าน หรือ HBEX#3 อย่าลืมติดตาม HBEX ครั้งต่อไปเอาไว้ให้ดีนะคะ
ประสบการณ์แบบนี้ไม่มีที่ไหน ไม่อยากพลาดโอกาส กดติดตาม Facebook HBEX ได้เลยที่
สมัครใช้งานฟรี! BUILK โปรแกรมควบคุมต้นทุนก่อสร้าง สำหรับผู้รับเหมา
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม 02-101-2851