การปรับหน้าดินให้พร้อมก่อนก่อสร้างเป็นเรื่องที่สำคัญ การ ถมดิน เป็นวิธีที่ใช้ปรับหน้าดินได้ดี การถมดินไม่ได้รู้เพียงแค่ว่า จะถมให้สูงเท่าไหร่ก็ถมได้เลย การถมดินนั้นยังต้องดูอีกหลายปัจจัยควบคู่กันไป เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในระยะยาวภายหลัง อย่างเช่น การทรุดตัวของดิน หรือการระบายน้ำภายในพื่นที่ เป็นต้น
ทั้งนี้ขั้นตอนการปรับหน้าดิน ยังเป็นอีกขั้นตอนการก่อสร้างที่มีต้นทุนอย่างแน่นอน ผู้รับเหมามักจะมีการคิดต้นทุนส่วนนี้กันอย่างไร ปกติต้นทุนการปรับหน้าดินจะมีค่าใช้จ่ายแบบไหน เท่าไหร่ และจะมีปัจจัยอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง บิลค์ทีมจะรวบรวมข้อมูลมาสรุปให้ได้อ่านกัน
? Highlight
◽ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการถมดิน
◽ลักษณะดินที่เหมาะกับการใช้ถมดิน
◽การคำนวณต้นทุนในการถมดิน
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องเมื่อต้องถมดิน
การถมดินเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับก่อสร้าง มีปัจจัยหลายส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดการทรุดตัวจากการสร้างสิ่งก่อสร้างกดทับ โดยปัจจัยที่เกี่ยวข้องและควรตำนึงถึงก่อการถมดิน ประกอบไปด้วย
-
ลักษณะพื้นที่ที่จะถมดินเป็นอย่างไร
เบื้องต้นผู้รับเหมาควรตรวจสอบลักษณะของพื้นที่ดังกล่าวก่อน เพื่อให้รู้ว่าจะต้องมีการถมดินสูงแค่ไหน ควรสอบถามผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น ว่ามีปัญหาเร่องน้ำท่วมหรือไม่ ใช้เวลาระบายน้ำนานแค่ไหน เพราะปัญหาดังกล่าวจะส่งผลให้ดินเกิดการอ่อนตัวง่าย จะต้องถมแล้วอัดให้แน่นกว่าปกติ ใช้เวลานานขึ้น
อีกวิธีที่จะช่วยสังเกตพื้นที่เพื่อการถมดินได้ คือการสังเกตต้นไม้ที่ขึ้นบนดินแปลงนั้น หากมีต้นกก ต้นอ้อ หรือธูปฤๅษี แสดงว่าพื้นที่บริเวณนั้นมีความชื้นแฉะสูง ดินตรงนั้นจะมีความอ่อนตัว แต่ถ้าหากมีต้นกระถิน หรือมะขามเทศ แสดงว่าดินบริเวณนั้นมีความแห้ง
-
ระดับความสูงของพื้นที่ที่จะถมดิน
เรื่องระดับความสูงของพื้นที่ที่ต้องการนั้น ต้องประเมินสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่ปกติน้ำท่วมถึงระดับไหน พื้นถนนเทียบกับพื้นที่ของตนเอง เทียบความสูงของที่บ้านหลังอื่น และที่ดินที่เป็นแปลงเปล่า มองเผื่ออนาคตด้วยว่าหากมีการก่อสร้างอื่นเพิ่มขึ้น พื้นที่ต่างๆรอบด้านจะต้องถูกถมให้สูงขึ้นด้วย ดังนั้น การประเมินสภาพแวดล้อมดังกล่าวจะช่วยให้รู้ได้ว่าต้องถมดินสูงแค่ไหน
ความสูงของการถมดินโดยทั่วไปแล้ว จะถมสูงกว่าถนน 50-80 ซ.ม. แต่สำหรับบางพื้นที่หากประเมินแล้วว่าต้องเผื่อการยุบตัวไว้ ก็อาจถมดินให้สูงกว่า 1 เมตร
-
ควรทิ้งพื้นที่หลังถมดินไว้นานแค่ไหน
อีกหนึ่งข้อสงสัย คือ เรื่องการทิ้งระยะเวลารอดินเซตตัวหลังถมดิน โดยปกติเมื่อถมดินเสร็จหากไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรเริ่มก่อสร้างทันที ควรทิ้งระยะเวลาให้ดินเซตตัวก่อน ยิ่งถมสูงยิ่งมีโอกาสทรุดตัว บางที่จะทิ้งระยะเวลาไว้กว้า 6-12 เดือน แต่ก็สามารถร่นระยะเวลาได้โดยการใช้รถบดอัดดินช่วย หรือทำทั้งสองอย่างคือทั้งใช้รถบดอัดดินและทิ้งระยะเวลารอดินเซตตัว ยิ่งจะทำให้การปรับหน้าดินก่อสร้างมีประสิทธิภาพ
ลักษณะดินที่เหมาะกับการใช้ถมดิน
การเลือกใช้ดินสำหรับนำมาถมที่ ควรมีการเลือกใช้ดินธรรมชาติ ไม่ควรเลือกใช้ดินที่มีการผสมเศษอิฐ หรือเศษหิน เพียงเพราะมีราคาถูก เพราะอาจส่งปัญหาต่อเสาเข็มได้
โดยดินธรรมชาติที่มักนำมาใช้ในการถมที่ ได้แก่
-
- ดินดาน หรือซีแล็ค : เป็นดินที่มีลักษณะแห้ง นิยมมาใช้เมื่อมีความต้องการปลูกสร้างหลังถมดิน ปรับหน้าดินเสร็จทันที บดอัดได้ดี เหมาะสำหรับการใช้ถมทำพื้นที่ถนน หรือที่ดินที่อยู่บริเวณริมน้ำ
- ดินทราย : เป็นดินที่จำเป็นต้องใช้การบดอัดให้แน่น เนื่องจากดินทรายจะประกอบด้วยทรายไม่น้อยกว่า 70% เกิดการกัดกร่อนได้ง่าย และไม่อุ้มน้ำ หากอัดไม่เน่น อาจเกิดปัญหาดินทรุดตัว และไหลออกบริเวณข้างเคียง ส่วนสาเหตุที่มีคนเลือกใช้ดินทรายในการถมที่ ก็เพราะเป็นดินที่ใช้ต้นทุนต่ำ ราคาถูกซึ่งมักใช้กันในโครงการจัดสรร
- ดินลูกรัง : เป็นดินที่ค่อนข้างแข็ง ยิ่งตอนเป็นดินที่แห้งจะยิ่งแข็ง มีสีน้ำตางหรือแดง เหมาะสำหรับใช้ถมทำถนนคอนกรีต เพราะบดให้อัดแน่นได้ดี แต่เป็นดินที่ไม่เหมาะกับการใช้ปลูกต้นไม้ เนื่องจากแห้งเกินไป
- ดินเหนียว : เป็นดินที่มีเนื้อละเอียด สามารถอุ้มน้ำได้ดี หาง่าย ต้นทุนไม่สูง ดินชนิดนี้เป็นที่นิยมในการใช้ถมที่ ในบริเวณกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
- ดินประเภทหน้าดิน : ก็คือเป็นดินที่อยู่บริเวณพื้นผิวดินด้านบน มีสีดำ ระดับตั้งแต่ 0.00-0.50 เมตร หรืออาจลึกกว่านี้เล็กน้อย เป็นดินที่เหมาะกับการใช้ปลูกต้นไม้ เนื่องจากมีแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับพืช ทำให้ดินประเภทนี้มีต้นทุนสูงกว่าดินประเภทอื่น
การคำนวณต้นทุนในการถมดิน
โดยปกติราคาทั่วไป หรือราคากลางสำหรับการถมดิน ปรับหน้าดิน จะเป็นราคาที่ไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างประกอบ การคิดค่าถมดิน จะมีการวัดจากพื้นที่ ว่าจะมีการใช้ดินเท่าไหร่ เป็นดินประเภทไหน ส่วนการคิดค่าใช้จ่ายการถมดิน บางรายคิดเป็นคันรถโดยประเมินจากขนาดของพื้นที่ บางรายคิดเป็นคิว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นราคาที่รวมเรื่องการอัดบดดินไปแล้ว
วิธีการคำนวณ คือ วัดพื้นที่ที่ต้องการถมดิน ปรับหน้าดิน ว่ามีขนาดกี่ตารางเมตร โดยปกติแล้วเราจะรู้ขนาดพื้นที่เป็นตารางวา เราสามารถคำนวนได้โดยใช้สูตรคำนวณ 1 ตารางวา เท่ากับ 4 ตารางเมตร เช่น ที่ดิน 100 ตารางวา คูณ 4 เท่ากับ 400 ตารางเมตร
จากนั้นก็คำนวณความสูงของดินที่จะถม หากต้องการถมสูง 1 เมตร บนพื้นที่ 400 ตารางเมตร ก็จะเป็น 1 x 400 = 400 คิว และให้เผื่อการบดอัดดินเข้าไปอีกประมาณ 20%-30 % จะอยู่ที่ประมาณ 80 คิว ก็จะทำให้รู้ได้ถึงปริมาณดินที่ต้องการใช้ถม ส่วนหากต้องการคิดเป็นคันรถ ก็ต้องเทียบดูว่ารถหนึ่งคันจะสามารถขนได้กี่คิว ขึ้นอยู่กับขนาดรถที่มี แล้วลองเปรียบเทียบกันดู
ตามข้อมูลที่ได้ศึกษามา ราคาเฉลี่ยของค่าถมดิน 1 คิว จะประมาณอยู่ที่ 280 บาท จากกรณีที่ยกตัวอย่างข้างต้น พื้นที่หน้างาน 100 ตารางวา ต้องการถมดินด้วยความสูง 1 เมตร เมื่อรวมปริมาณดินที่ใช้ พร้อมเผื่อค่าบดอัด จะใช้ดินอยู่ที่ 480 คิว ต้นทุนค่าถมดินจะประมาณ 120,000 – 140,000 บาท
แต่ราคาจะถูกหรือแพงกว่าตัวอย่างข้างต้น ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่ได้อ้างอิงว่า ทั้งลักษณะของดินที่ต้องการใช้ พื้นที่เป็นแบบไหน สภาพแวดล้อมจะส่งผลต่อพื้นที่อย่างไร ต้องประเมินให้รอบด้าน ทำให้การถมดินไม่ได้มีกฏที่ตายตัวร้อยเปอร์เซ็นต์
นอกจากจะได้รู้กันแล้วว่า ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อการ ถมดิน การปรับหน้าดิน ดินลักษณะไหนที่เหมาะสมกับพื้นที่แบบต่างๆ เพื่อเตรียมพื้นที่ก่อนก่อสร้าง ยังได้รู้อีกว่าการคำนวณต้นทุนสำหรับใช้ปรับหน้าดิน เป็นอย่างไร จะช่วยให้ผู้รับเหมาคำนวณต้นทุนส่วนนี้ง่ายขึ้น
ที่สำคัญเมื่อรู้แล้วว่าต้นทุนใช้เท่าไหร่ ก็ไม่ควรลืมที่จะบันทึกค่าใช้จ่าย เพื่อให้รู้ว่าตอนนี้เรามีต้นทุนในการก่อสร้างไปเท่าไหร่แล้ว
โดยใน บิลค์ โปรแกรมควบคุมต้นทุนก่อสร้างออนไลน์ เอง ก็สามารถบันทึก จัดสรรต้นทุนส่วนนี้ ของโครงการได้ง่ายๆ ค่าใช้จ่ายทุกชนิดจะถูกประมวลผล แล้วสามารถสร้างรายงานต้นทุนให้เห็นแบบอัตโนมัติ ทำให้ผู้รับเหมารู้ข้อมูลแบบ Real Time ว่าภาพรวมโครงการปัจจุบันกับแผนที่วางไว้เป็นอย่างไรแล้ว
สมัครใช้งานฟรี! BUILK โปรแกรมควบคุมต้นทุนก่อสร้าง สำหรับผู้รับเหมา
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม 02-101-2851